John Holland บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานจากออสเตรเลีย อีกหนึ่งองค์กรต้นแบบการทำ Digital Transformation ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประจำปี 2024 จากความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล AI, IoT, และ Digital Twin ได้รับรางวัล "Best in Future of Digital Infrastructure" จากเวที IDC Future Enterprise Awards 2024
ถอดรหัสกลยุทธ์การทรานส์ฟอร์มธุรกิจ
Part 1: NEW GROWTH ENGINE
Part 2: TRANSFORMER MAP
Part 3: BUSINESS MODEL CANVAS
Part 4: DIGITAL TRANSFORMATION CANVAS
OVERVIEW
ภาพรวมธุรกิจของ 'John Holland'
John Holland หนึ่งในบริษัทวิศวกรรมและโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของออสเตรเลีย ได้รับรางวัล "Best in Future of Digital Infrastructure" จาก IDC Asia Pacific ในปี 2024 ด้วย โครงการ Cloud Observability Uplift Project ที่แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสนับสนุนการเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน
John Holland เป็นบริษัทที่มีประวัติยาวนานกว่า 70 ปี เป็นผู้นำด้านการออกแบบ วิศวกรรม การก่อสร้าง และการบริหารโครงสร้างพื้นฐานในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคม บริษัทได้ปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการในยุคดิจิทัล โดยเน้นการบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและยกระดับคุณภาพของโครงการ
โครงการ Cloud Observability Uplift
หลังจากย้ายระบบทั้งหมดไปยัง AWS Cloud ในปี 2019 John Holland ได้ดำเนินโครงการ Cloud Observability Uplift เพื่อรับมือกับความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและความต้องการในการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแหล่งข้อมูลเดียวที่สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โครงการนี้ช่วยลดความซับซ้อนของเครื่องมือการตรวจสอบไอที และส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานต่าง ๆ ภายในองค์กร
Challenge
ก่อนหน้านี้ John Holland เผชิญกับปัญหาที่มักพบในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น
Data Silos: ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บในระบบที่แยกกัน ทำให้การทำงานร่วมกันของทีมงานเป็นไปได้ยาก การใช้เครื่องมือ IT Monitoring หลายตัวที่ไม่มีความสอดคล้อง และความล่าช้าในการตรวจจับปัญหาที่อาจกระทบต่อการดำเนินโครงการ
ความซับซ้อนของโครงสร้างพื้นฐานไอที: การจัดการระบบไอทีที่มีความหลากหลายและกระจายตัวทั้งในสถานที่และบนคลาวด์
การใช้เครื่องมือ IT Monitoring หลายตัว: การบริหารจัดการเครื่องมือที่ไม่เชื่อมโยงกันทำให้กระบวนการตรวจสอบไม่มีประสิทธิภาพ
ความล่าช้าในการตรวจจับปัญหา: ส่งผลให้โครงการบางส่วนหยุดชะงักหรือประสบปัญหาในการดำเนินงาน
การทำงานร่วมกันระหว่างทีม: การขจัดไซโลข้อมูลและส่งเสริมการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานที่มีหน้าที่แตกต่างกัน
ด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ บริษัทต้องการโซลูชันที่ช่วยตรวจสอบระบบ ลดความซับซ้อนและเพิ่มความแม่นยำในการจัดการข้อมูลในการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันผลกระทบต่อการดำเนินงาน
Solution
โครงการ Cloud Observability Uplift Project ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้าง "แหล่งข้อมูลเดียว" (Single Source of Truth) ที่ช่วยให้ทีมงานข้ามสายงานสามารถเข้าถึงข้อมูลร่วมกันได้ง่ายขึ้น เพื่อขจัดปัญหาไซโลข้อมูลและสร้างระบบที่ช่วยให้ทีมงานสามารถเข้าถึงข้อมูลร่วมกันได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพด้วยฟีเจอร์สำคัญ อาทิ
Proactive Incident Detection ระบบตรวจจับปัญหาล่วงหน้าช่วยลดผลกระทบต่อการดำเนินงาน
Democratized Data Access ข้อมูลถูกจัดการให้ง่ายต่อการเข้าถึงและใช้งานโดยทีมงานทุกระดับ
Simplified IT Monitoring ลดจำนวนเครื่องมือ IT Monitoring ลงถึง 75%
Enhanced Collaboration สร้างช่องทางการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานข้ามสายงาน
Outcome
ลดต้นทุนการตรวจสอบ (Observability Costs) ลงถึง 40% ภายใน 12 เดือน
ลดจำนวนเครื่องมือ IT Monitoring จากหลายสิบตัวเหลือเพียงไม่กี่ตัว เพิ่มประสิทธิภาพการตรวจสอบระบบ IT
ลดความซับซ้อนในการจัดการลงถึง 75%
ลดต้นทุนการดำเนินงาน 15%
เพิ่มอัตราการส่งมอบโครงการตรงเวลาเป็น 90% จาก 75% ในปี 2022
ช่วยลดข้อจำกัดในการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานข้ามสายงาน
ระบบตรวจจับและแก้ไขปัญหาเชิงรุกช่วยเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) และลดเวลาการหยุดชะงัก (Downtime)
เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 5% ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่
ได้รับสัญญาใหม่จากโครงการพลังงานสะอาดมูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท
โครงการนี้ช่วยให้ John Holland สามารถดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั่วประเทศได้อย่างราบรื่นและต่อเนื่อง
John Holland ได้แสดงให้เห็นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัย ไม่เพียงแต่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน แต่ยังเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับภูมิภาคและระดับโลก โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในยุค Digital และ AI
PART (1/4)
NEW GROWTH ENGINE
NEW GROWTH ENGINE แผนการสร้างการเติบโตครั้งใหม่สำหรับอนาคตของ 'John Holland'
John Holland ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวและสร้างการเติบโตในยุคดิจิทัล ผ่านการพัฒนาโครงการ Cloud Observability Uplift Project ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของบริษัท ความมุ่งมั่นนี้ช่วยให้บริษัทสามารถเติบโตในตลาดที่มีการแข่งขันสูง และสร้างโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ก่อสร้าง และอสังหาริมทรัพย์ ดังนี้
1. Disruption: รับมือการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ด้วยโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
การขยายบริการดิจิทัล: ในอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐาน ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ การแข่งขันไม่ได้มาจากบริษัทแบบดั้งเดิมเท่านั้น แต่ยังรวมถึง
สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี เช่น Katerra และ Procore ที่นำเสนอเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI และการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป
ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี (Tech Giants) เช่น Amazon และ Google ที่ลงทุนในเทคโนโลยีอาคารอัจฉริย
บริษัทข้ามอุตสาหกรรม เช่น บริษัทพลังงานที่เข้าสู่ตลาดด้วยโครงการพลังงานสะอาด
John Holland ใช้ กลยุทธ์เชิงระบบนิเวศ (Ecosystem Approach) โดยสร้างความร่วมมือกับสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี และใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน จนสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด 5% ผ่านการร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ได้รับสัญญาใหม่มูลค่ากว่า 1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท จากโครงการพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานลมและแสงอาทิตย์
2. Disruptive Innovation: สร้างสรรค์นวัตกรรมที่เปลี่ยนเกม
ลูกค้ากลุ่มใหม่ในปัจจุบัน มองหาวิธีการก่อสร้างที่รวดเร็ว มีต้นทุนต่ำ และยั่งยืน ซึ่งสามารถแทนที่การก่อสร้างแบบดั้งเดิมได้
John Holland ได้นำนวัตกรรม การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular Construction) และ เทคโนโลยี Prefabrication มาใช้ในโครงการ เช่น โรงพยาบาลและอาคารพาณิชย์ เพื่อเพิ่มความเร็วในการก่อสร้างและลดต้นทุนในโครงการ New Toowoomba Hospital ใช้การก่อสร้างแบบสำเร็จรูป ลดระยะเวลาโครงการลง 30% ลดระยะเวลาเฉลี่ยในการก่อสร้างลง 25% ประหยัดต้นทุนปีละ 20 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือประมาณ 460 ล้านบาท
3. Disruptive Technology: ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เปลี่ยนอุตสาหกรรม
โครงการ Cloud Observability Uplift Project: ใช้ระบบคลาวด์เพื่อตรวจจับและแก้ปัญหาเชิงรุก (Proactive Incident Detection) ที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาในระบบดิจิทัล สิ่งนี้จึงทำให้ John Holland สามารถเปลี่ยนแปลงแนวทางการทำงานด้วยการสร้าง Single Source of Truth ทำให้มีการจัดการข้อมูลที่เข้าถึงง่าย (Democratized Data Access) และโปร่งใส (Transparency) ช่วยให้การตรวจสอบข้อมูลและการดำเนินงานในโครงการระดับประเทศราบรื่นขึ้น
ลดต้นทุนการตรวจสอบ (Observability Costs) ลง 40%
ลดเครื่องมือ IT Monitoring ลง 75%
ลดต้นทุนการดำเนินงาน 15%
เพิ่มอัตราการส่งมอบโครงการตรงเวลาเป็น 90% จาก 75% ในปี 2022
เพิ่มความเร็วในการตรวจสอบปัญหา เพิ่ม Productivity ลด Downtime และอุปสรรคในกระบวนการปฏิบัติงานได้อย่างชัดเจน
ช่วยลดข้อจำกัดในการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานข้ามสายงาน
พัฒนา Generative AI Tools ร่วมกับ Microsoft ในการพัฒนาแอปพลิเคชัน ChatGPT รุ่นเฉพาะสำหรับพนักงาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเขียนรายงานและวิเคราะห์ข้อมูล เพิ่มผลิตภาพของทีมงานขึ้นกว่า 30% ลดเวลาที่ใช้ในการสร้างต้นแบบ (Blueprints) ลง 25%
นำเทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI, IoT, และ Digital Twin มาใช้ในกระบวนการดำเนินงานและการจัดการโครงการ ตัวอย่างโครงการ Melbourne Airport Rail ใช้ IoT (Internet of Things) เซ็นเซอร์เพื่อติดตามความคืบหน้าในโครงการแบบเรียลไทม์ และวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโครงการ
ใช้ AI ในการประมวลผลใบแจ้งหนี้ ตั้งแต่ปี 2021 John Holland ได้เริ่มใช้การเรียนรู้ของเครื่องและการรู้จำอักขระด้วยแสง (OCR-Optical Character Recognition กระบวนการในการเปลี่ยนข้อความที่อยู่ในไฟล์เอกสาร ให้อยู่ในรูปแบบของข้อความที่ระบบสามารถอ่านได้) เพื่อประมวลผลใบแจ้งหนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดเวลาที่ใช้ในการดำเนินงาน
ใช้เทคโนโลยี Building Information Modelling (BIM) เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มความแม่นยำในการดำเนินงาน
4. Platform Business: การสร้างระบบนิเวศใหม่
ขยายบทบาทจากผู้ดำเนินโครงการก่อสร้างไปสู่การสร้างระบบนิเวศดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับลูกค้าและพันธมิตร
โครงการ Waterfront Brisbane: ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลในการจัดการโครงการร่วมกับหน่วยงานรัฐบาลและนักลงทุนเอกชน
ตลาดวัสดุยั่งยืน (Marketplace for Sustainable Materials) สร้างพื้นที่สำหรับการซื้อขายวัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
สร้างรายได้ 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD) หรือประมาณ 27,600 ล้านบาท จากโครงการที่ขับเคลื่อนด้วยระบบนิเวศ
คะแนนความพึงพอใจของพันธมิตรเพิ่มขึ้น 20%
John Holland ได้พัฒนา New Growth Engine ช่วยเสริมศักยภาพธุรกิจในระยะยาว การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงการสร้างระบบนิเวศความร่วมมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่และลดความเสี่ยงในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ด้วยการทรานส์ฟอร์มธุรกิจด้วยดิจิทัลเพื่อสร้าง New Growth Engine ผ่านกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จของการทรานส์ฟอร์มธุรกิจที่สามารถเป็นต้นแบบสำหรับผู้บริหารองค์กรในทุกอุตสาหกรรม เพื่อนำไปปรับใช้ในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
PART (2/4)
TRANSFORMER MAP
TRANSFORMER MAP แผนที่การทรานส์ฟอร์มธุรกิจของ 'John Holland'
John Holland ได้ดำเนินกลยุทธ์การทรานส์ฟอร์มธุรกิจที่ช่วยให้องค์กรสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในตลาด โดยใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมเพื่อสร้างผลกระทบเปลี่ยนแปลงเชิงบวก (Transformational Impact) ต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และประเทศ ผ่านการกำหนดกลยุทธ์ใน 4 แนวทางที่สอดคล้องกับธุรกิจหลักและโอกาสทางการตลาด ควบคู่ไปกับการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ ที่ตอบสนองต่อความต้องการของอุตสาหกรรมและความยั่งยืนในระดับสากล เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจและความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัล ดังนี้
1. Core Business + Current Market: เพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจหลักในตลาดเดิม
รักษาความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานในตลาดออสเตรเลีย โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Building Information Modeling (BIM) และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคาดการณ์ เพื่อปรับปรุงกระบวนการและลดต้นทุน
การใช้ BIM ในโครงการ Sydney Metro สามารถลดข้อผิดพลาดในการออกแบบลง 30% และลดต้นทุนโครงการได้ถึง 15% ลดต้นทุนการดำเนินงานลง 10% เพิ่มอัตราการส่งมอบโครงการตรงเวลาได้ 20%
โครงการCloud Observability Uplift Project ซึ่งช่วยลดต้นทุนการตรวจสอบระบบลง 40% ภายใน 12 เดือน และลดจำนวนเครื่องมือ IT Monitoring ลง 75% ส่งผลให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Data-Driven Operations ใช้ Data Analytics และระบบ Cloud Computing เพื่อลดข้อผิดพลาดในกระบวนการก่อสร้าง และเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบโครงการแบบเรียลไทม์ ช่วยลดเวลาและต้นทุนในกระบวนการก่อสร้างลง 30% และเพิ่มประสิทธิภาพโครงการขนาดใหญ่ทั่วประเทศออสเตรเลีย
2. Core Business + New Market: ขยายธุรกิจหลักเข้าสู่ตลาดใหม่
การพัฒนาโครงการเมืองอนาคต บริษัทมีส่วนร่วมในโครงการพัฒนาเมืองที่ตอบสนองต่อความต้องการของประชากรเมืองที่เติบโตขึ้น เช่น โครงการพัฒนาสถานี Waterloo ในซิดนีย์ และการปรับปรุงสนามกีฬา Marvel
ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดพลังงานทดแทนและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ เช่น โครงการ Snowy Hydro 2.0 ที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานทดแทนอย่างยั่งยืน สร้างรายได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 28,800 ล้านบาท)
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะที่รวมเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น เซ็นเซอร์ IoT และระบบวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรและบริการของเมือง
ได้รับสัญญาโครงการก่อสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันและการขยายตลาดของ John Holland ในระดับสากล
3. New Core Business + Current Market: สร้างบริการใหม่ในตลาดเดิม
เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เรียกว่า Project Lifecycle Management (PLM) ซึ่งออกแบบมาเพื่อบริหารจัดการโครงการในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การวางแผน การก่อสร้าง ไปจนถึงการบำรุงรักษา แพลตฟอร์มนี้ช่วยปรับปรุงความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ ลดความเสี่ยง และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกันระหว่างทีม ลดระยะเวลาการวางแผนโครงการลง 20% เพิ่มความแม่นยำในการบริหารจัดการงบประมาณขึ้น 15% เพิ่มอัตราการส่งมอบโครงการตามกำหนดเวลากว่า 90%
พัฒนาโซลูชันดิจิทัลระบบ IoT เช่น การติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT เพื่อการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ ช่วยลดเวลาหยุดชะงักของอุปกรณ์ลง 25% เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในโครงการได้ถึง 15%
ใช้ Digital Twin ในการสร้างแบบจำลองโครงสร้างเสมือนจริงของโครงการขนาดใหญ่ เช่น สะพานและทางรถไฟ เพื่อจำลองสถานการณ์และคาดการณ์ปัญหาที่อาจเกิดขึ้น แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ทีมสามารถตรวจสอบและแก้ไขข้อผิดพลาดก่อนการดำเนินงานจริง ผลลัพธ์ที่ได้: ลดต้นทุนการแก้ไขข้อผิดพลาดในการก่อสร้างลง 25% เพิ่มความปลอดภัยของโครงการขึ้น 30%
ให้บริการ SaaS สำหรับการบริหารโครงการแก่ผู้ประกอบการและพันธมิตรในตลาดเดิม เช่น บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดเล็ก และหน่วยงานภาครัฐ บริการนี้ครอบคลุมเครื่องมือในการวางแผนและติดตามความคืบหน้าของโครงการผ่านระบบคลาวด์
การทดลองใช้เทคโนโลยีไฮโดรเจนในงานก่อสร้าง John Holland ได้ร่วมมือกับ Sydney Water ในการทดลองใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าไฮโดรเจนในโครงการก่อสร้าง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเสียงรบกวนในงานก่อสร้าง
4. New Core Business + New Market: พัฒนาโมเดลธุรกิจใหม่ในตลาดใหม่
โครงการพลังงานทดแทน (Renewable Energy Projects) John Holland ได้เข้าสู่ตลาดพลังงานทดแทนผ่านโครงการสำคัญทั่วออสเตรเลีย เช่น Snowy Hydro 2.0 ซึ่งเป็นระบบจัดเก็บพลังงานด้วยการสูบน้ำ (Pumped Hydro) ที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย โครงการนี้ไม่เพียงช่วยสร้างพลังงานสะอาด แต่ยังลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล สร้างรายได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 28,800 ล้านบาท) ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) กว่า 100,000 ตันต่อปี เสริมสร้างความเชื่อมั่นในฐานะผู้นำโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาดและเพื่อสนับสนุนการเติบโตในตลาดพลังงานที่กำลังขยายตัว
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure) บริษัทได้ขยายตลาดไปยังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยพัฒนาโครงการโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ มูลค่ากว่า 500 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 12,000 ล้านบาท) เช่น การออกแบบและก่อสร้าง Smart City ที่ใช้เทคโนโลยี Internet of Things (IoT) และระบบเซ็นเซอร์เพื่อติดตามการใช้พลังงานและปรับปรุงการบริหารจัดการเมือง เช่น โครงการ Smart Rail ในสิงคโปร์ ที่นำระบบ AI และ IoT มาใช้ในการจัดการการเดินรถไฟแบบเรียลไทม์ โครงการ Smart City ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งรวมการบริหารจัดการพลังงาน น้ำ และการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเปิดโอกาสสู่ตลาดโลกต่อไป
การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัล (Digital Ecosystem Development) บริษัทได้พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ให้บริการโซลูชันด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบ SaaS (Software as a Service) เพื่อช่วยบริหารโครงการก่อสร้างในตลาดใหม่ โดยมุ่งเน้นการให้บริการกับบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 15% สร้างรายได้จากบริการ SaaS ในตลาดใหม่กว่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 4,800 ล้านบาท)
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานในตลาดใหม่ John Holland ได้เข้าสู่ตลาดโครงสร้างพื้นฐานพลังงานในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม สร้างรายได้เพิ่มกว่า 300 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 7,200 ล้านบาท) ต่อปี ช่วยผลักดันเป้าหมายด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาค
John Holland แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการปรับกลยุทธ์การทรานส์ฟอร์มธุรกิจที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในตลาด และสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งกับองค์กรและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย โดยการผสมผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ากับการดำเนินงาน การสร้างคุณค่าใหม่ให้แก่ลูกค้า และการขยายโอกาสทางธุรกิจในตลาดใหม่ ความสำเร็จเหล่านี้ช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว
PART (3/4)
BUSINESS MODEL CANVAS
BUSINESS MODEL CANVAS โมเดลธุรกิจใหม่ของ 'John Holland'
การสร้างรูปแบบโมเดลธุรกิจใหม่ที่ยั่งยืนและทรงพลังของ John Holland
1. Customer Segments (กลุ่มลูกค้า)
กลุ่มลูกค้าของของ John Holland ครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมและกลุ่มลูกค้า ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเน้นให้บริการโครงสร้างพื้นฐานและนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการเฉพาะของแต่ละกลุ่ม ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐ องค์กรด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเทคโนโลยี ทีมงานภายในองค์กร ผู้สนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชน รวมถึงนักลงทุนและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ นอกจากนี้ ยังมีการขยายกลุ่มลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ โดยมุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
2. Value Propositions (การเสนอคุณค่า)
มุ่งเน้นการนำเสนอโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพสูง พร้อมนวัตกรรมดิจิทัลที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม ด้วยการใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น Cloud Observability, Digital Twin, และ Building Information Modeling (BIM) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ลดต้นทุน และเพิ่มความยืดหยุ่นของโครงการ อีกทั้งยังสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการส่งมอบโครงการที่ทันเวลาและงบประมาณ พร้อมสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อชุมชนและสังคม โดยมุ่งมั่นที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าและพันธมิตร
3. Channels (ช่องทาง)
ใช้ช่องทางที่หลากหลายในการเข้าถึงลูกค้าและส่งมอบคุณค่า รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ผ่านโครงการโครงสร้างพื้นฐานโดยตรง การนำเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น ระบบ Cloud Observability และแพลตฟอร์มการจัดการโครงการแบบรวมศูนย์ มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ บริษัทยังใช้ช่องทางสื่อสารแบบดิจิทัล เช่น เว็บไซต์ อีเมล การประชุมออนไลน์ และแพลตฟอร์มดิจิทัลภายในองค์กร เพื่อติดต่อสื่อสารกับลูกค้าและพันธมิตร รวมถึงการสนับสนุนด้านข้อมูลและการบริการหลังการส่งมอบโครงการ เพื่อสร้างความพึงพอใจและการมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง
4. Customer Relationships (ความสัมพันธ์กับลูกค้า)
John Holland มุ่งมั่นสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าผ่านการให้บริการที่มีคุณภาพสูง การสื่อสารอย่างโปร่งใส และการสนับสนุนที่ต่อเนื่อง โดยใช้ระบบดิจิทัล เช่น Cloud Observability และแพลตฟอร์มการจัดการโครงการ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและความแม่นยำในการดำเนินโครงการ บริษัทให้ความสำคัญกับการตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้า การสร้างความไว้วางใจผ่านการส่งมอบโครงการตรงเวลาและตามงบประมาณ รวมถึงการนำเสนอโซลูชันที่ยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์ทั้งด้านธุรกิจและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์และการให้คำปรึกษาเชิงลึกเพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายในระยะยาว
5. Revenue Streams (แหล่งรายได้)
ความสำเร็จของ John Holland ในการสร้างรายได้จากแหล่งที่หลากหลายและครอบคลุมหลายอุตสาหกรรม ช่วยเสริมศักยภาพทางการแข่งขันและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ทั้งในด้านการเงินที่เติบโตและผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
บริษัทมีรายได้ รวมกว่า 5,981 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 139,000 ล้านบาท) ในปี 2023 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 10.6% และมีกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 194.7 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 4,660 ล้านบาท) คิดเป็นการเติบโต 31.4%
เพิ่มขนาดงานในมือ (Backlog) จาก 12.3 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 287,000 ล้านบาท) ในปี 2022 เป็น 13.5 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 315,000 ล้านบาท) ในปี 2023
โดยรายได้หลักประกอบด้วย:
โครงการโครงสร้างพื้นฐาน รายได้จากโครงการขนาดใหญ่ เช่น ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ และพลังงานหมุนเวียน คิดเป็น 65% ของรายได้รวม เช่น โครงการ Snowy Hydro 2.0 ซึ่งสร้างรายได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 28,800 ล้านบาท) และโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง
การบริหารจัดการและบริการหลังการก่อสร้าง บริการบำรุงรักษาและซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรถไฟและระบบพลังงาน สร้างรายได้ประมาณ 300 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 7,200 ล้านบาท) โดยช่วยเพิ่มความยั่งยืนและเสถียรภาพของโครงสร้างพื้นฐาน
โครงการพลังงานและความยั่งยืน การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานหมุนเวียน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม ช่วยสร้างรายได้กว่า 400 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 9,600 ล้านบาท) ต่อปี และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
โซลูชันดิจิทัลและเทคโนโลยี การนำเทคโนโลยี เช่น Cloud Observability Uplift Project มาใช้ ลดต้นทุน IT Monitoring ได้ถึง 40% และเพิ่มรายได้จากบริการดิจิทัลกว่า 200 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 4,800 ล้านบาท)
โครงการในตลาดต่างประเทศ การขยายโครงการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น โครงสร้างพื้นฐานเมืองอัจฉริยะและโครงการขนส่งมวลชน สร้างรายได้ใหม่กว่า 1 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 24,000 ล้านบาท)
ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม นอกจากรายได้ทางการเงิน John Holland ยังสร้างผลลัพธ์ที่ไม่ใช่การเงิน เช่น การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนลง 15% การสร้างงานในชุมชนท้องถิ่น และการยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมผ่านนวัตกรรมดิจิทัล
6. Key Resources (ทรัพยากรสำคัญ)
ทรัพยากรสำคัญของ John Holland ประกอบด้วยความเชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมและการก่อสร้าง ทีมงานผู้มีทักษะสูงในด้านการจัดการโครงการและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีดิจิทัลที่ล้ำสมัย เช่น Building Information Modeling (BIM), Digital Twin และระบบ Cloud Observability รวมถึงฐานข้อมูลโครงการที่ครอบคลุมและเป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ บริษัทยังมีเครือข่ายพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพสูงและทรัพยากรด้านพลังงานที่ยั่งยืน ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนในตลาดโลก
7. Key Activities (กิจกรรมสำคัญ)
กิจกรรมสำคัญของ John Holland ครอบคลุมการออกแบบและดำเนินโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน รถไฟ โรงพยาบาล และโครงการพลังงานหมุนเวียน การบริหารจัดการโครงการอย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Building Information Modeling (BIM) และ Digital Twin เพื่อเพิ่มความแม่นยำและลดต้นทุน นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการบำรุงรักษาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว พร้อมทั้งดำเนินกิจกรรมด้านนวัตกรรม เช่น การพัฒนาโซลูชันดิจิทัลใหม่ๆ การจัดการทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และการส่งเสริมความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อสร้างมูลค่าและขับเคลื่อนการเติบโตในตลาดใหม่
8. Key Partnerships (พันธมิตรสำคัญ)
พันธมิตรสำคัญของ John Holland ครอบคลุมหลากหลายกลุ่ม เช่น หน่วยงานภาครัฐที่สนับสนุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ บริษัทเทคโนโลยีที่ช่วยพัฒนาโซลูชันดิจิทัล เช่น Cloud Observability และ Digital Twin รวมถึงพันธมิตรด้านพลังงานหมุนเวียนที่ร่วมมือในโครงการพลังงานสะอาด เช่น Snowy Hydro 2.0 นอกจากนี้ บริษัทยังทำงานร่วมกับพันธมิตรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อขยายตลาดใหม่และสร้างโอกาสทางธุรกิจ พันธมิตรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการดำเนินงาน การขยายตลาด และการพัฒนานวัตกรรมที่ช่วยเพิ่มศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก
9. Cost Structure (โครงสร้างต้นทุน)
John Holland ให้ความสำคัญกับการบริหารโครงสร้างต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพผ่านการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อลดค่าใช้จ่ายในทุกกระบวนการดำเนินงาน นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาความยั่งยืน ความสำเร็จเหล่านี้สะท้อนถึงความสามารถในการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ความสามารถในการสร้างรายได้และการทำกำไร สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและเสริมศักยภาพในตลาดโลก
โครงสร้างต้นทุนหลักของบริษัทครอบคลุม 4 หมวดหมู่สำคัญดังนี้:
ต้นทุนการดำเนินโครงการ (Project Operational Costs) ต้นทุนหลักจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เช่น การก่อสร้างถนน ทางรถไฟ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน และศูนย์ข้อมูล โดยในปี 2023 บริษัทสามารถลดต้นทุนการก่อสร้างต่อหน่วยลงกว่า 15% ผ่านการใช้เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) และ Digital Twin ในการออกแบบและบริหารจัดการโครงการ
ต้นทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม (Technology and Innovation Costs) การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น Cloud Observability Uplift Project ช่วยลดต้นทุน IT Monitoring ลง 40% และลดจำนวนเครื่องมือ IT Monitoring จากเดิม 75% ส่งผลให้ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานด้าน IT อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจจับและแก้ไขปัญหาเชิงรุก เช่น การใช้ระบบ AI และ IoT ในการตรวจสอบความปลอดภัยและความคงทนของโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยลดต้นทุนการซ่อมบำรุงลงกว่า 12% ต่อปี
ต้นทุนด้านทรัพยากรบุคคล (Human Resource Costs) การลงทุนในทักษะดิจิทัลของพนักงาน เช่น การฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพทีมงาน ช่วยเพิ่มผลิตภาพและลดความซับซ้อนของงาน โดยบริษัทสามารถลดเวลาการทำงานในขั้นตอนซ้ำซ้อนลงกว่า 20% ผ่านการใช้แพลตฟอร์ม Collaboration Tools รวมถึงดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรและการพัฒนาทักษะด้านดิจิทัลให้ทีมงานกว่า 5,000 คน เพื่อรองรับการดำเนินงานที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ต้นทุนด้านความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (Sustainability and Environmental Costs) John Holland ให้ความสำคัญกับการลงทุนในโครงการพลังงานสะอาดและความยั่งยืน เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 15% ต่อปี แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานลงกว่า 10% ต่อปี เช่น โครงการ Net Zero Carbon ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและเพิ่มความได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว
PART (4/4)
DIGITAL TRANSFORMATION CANVAS
ถอดรหัสการทรานส์ฟอร์มธุรกิจสู่ความสำเร็จของ 'John Holland' ด้วย DIGITAL TRANSFORMATION CANVAS
ส่วนที่ 1: ตั้งหลักทรานส์ฟอร์ม
01. Define New Core Business (นิยามธุรกิจหลักใหม่)
John Holland ได้เปลี่ยนบทบาทจากการเป็น 'บริษัทก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานแบบดั้งเดิม' มาเป็น 'ผู้นำด้านนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะและบริการดิจิทัลที่ยั่งยืน' เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ลูกค้าและชุมชน บริษัทมุ่งเน้นการพัฒนาโซลูชันที่ยั่งยืน เช่น การใช้ Cloud Observability และ Digital Twin ในการบริหารโครงการ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการขยายตลาดสู่พลังงานหมุนเวียนและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายในการสร้างการเติบโตที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและความต้องการของตลาดในอนาคต
02. Define New Value Proposition (นิยามคุณค่าใหม่)
John Holland ก้าวสู่การเป็น ผู้บริหารโครงการแบบครบวงจร (End-to-End Project Manager) ที่ครอบคลุมตั้งแต่การวางแผน ออกแบบ ก่อสร้าง ไปจนถึงการบำรุงรักษาในระยะยาว พร้อมทั้งมุ่งเน้นความยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ลูกค้าในระยะยาว ด้วยแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure Platform) ที่สนับสนุนความโปร่งใสในโครงการ (Project Transparency) และโซลูชันที่มุ่งตอบโจทย์ลูกค้า (Customer-Centric Solutions) ผ่านการนำเทคโนโลยี AI, IoT, และ Digital Twin มาปรับปรุงการดำเนินงาน เพิ่มประสิทธิภาพ และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างผลลัพธ์เชิงบวกที่ยั่งยืนให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกระดับ
03. Define New Business Model (นิยามรูปแบบธุรกิจใหม่)
5 รูปแบบธุรกิจใหม่ของ John Holland แสดงถึงการปรับตัวให้ทันกับการแข่งขันในยุคดิจิทัล โดยเน้นการใช้เทคโนโลยี การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างความยั่งยืน และการพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดในปัจจุบันและอนาคตที่เพิ่มมูลค่าในระยะยาว ช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความได้เปรียบในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure Business) ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย เช่น AI, Cloud Observability และ Digital Twin Technology เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและความโปร่งใสของโครงการ ช่วยให้การวางแผนและการก่อสร้างมีความแม่นยำยิ่งขึ้น ลดข้อผิดพลาด และเพิ่มความยั่งยืนของโครงสร้างพื้นฐาน
ธุรกิจพลังงานทดแทน (Renewable Energy Business) การลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และโครงการจัดการเครดิตคาร์บอน (Carbon Credit Management) เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสนับสนุนเป้าหมาย Net Zero Carbon เช่น โครงการ Snowy Hydro 2.0 สร้างรายได้กว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย (ประมาณ 28,800 ล้านบาท) การให้บริการ Carbon Credit Management แก่องค์กรที่ต้องการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Carbon Footprint)
ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ (Smart Infrastructure Business) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ IoT และระบบอัตโนมัติเพื่อเพิ่มความยั่งยืนและลดค่าใช้จ่าย ตัวอย่างเช่น Predictive Maintenance Solutions ที่ลดเวลาหยุดชะงักของโครงสร้างพื้นฐาน และบริการหลังการก่อสร้าง (Post-construction Services) ที่ช่วยบริหารโครงการในระยะยาว เช่น ระบบขนส่งมวลชนอัจฉริยะ และโครงการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ธุรกิจบริการที่ยั่งยืน (Sustainability Business) เน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของชุมชนและสิ่งแวดล้อม การสร้างพื้นที่สีเขียว โครงการพัฒนาชุมชน โครงสร้างพื้นฐานเพื่อความยั่งยืน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานสะอาด เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนและการออกแบบเมืองอัจฉริยะ
ธุรกิจโซลูชันดิจิทัล (Digital Solutions Business) การพัฒนาบริการดิจิทัล เช่น แพลตฟอร์มบริหารจัดการโครงการ (Project Management Platform) ที่ช่วยให้ทีมงานและพันธมิตรทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการให้คำปรึกษาด้านดิจิทัล (Digital Consulting and Advisory Services) เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
ส่วนที่ 2: สร้างความสามารถใหม่ด้านดิจิทัล
04. Identify Existing Digital Capabilities (ประเมินศักยภาพดิจิทัลที่มีอยู่)
ระบบ IT เดิมและการบูรณาการข้อมูล (Legacy IT Systems and Data Integration) John Holland ใช้ระบบ IT เดิมสำหรับจัดการโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ระบบเหล่านี้รองรับการทำงานเบื้องต้นได้ดี แต่มีข้อจำกัดด้านความสามารถในการขยาย (Scalability) และการแบ่งปันข้อมูลระหว่างทีมต่าง ๆ เครื่องมือที่ใช้อยู่ก่อนหน้าให้การสนับสนุนในกระบวนการจัดการโครงการ แต่ขาดความสามารถด้านการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์และการตรวจสอบข้อมูลแบบเรียลไทม์
โครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ (Cloud Computing Infrastructure) ก่อนเริ่มโครงการ Cloud Observability Uplift Project บริษัทใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮบริดคลาวด์ ซึ่งประกอบด้วยเซิร์ฟเวอร์ภายในองค์กรและโซลูชันคลาวด์บางส่วน โครงสร้างนี้สามารถรองรับการย้ายข้อมูลพื้นฐานและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานได้ในระดับหนึ่ง
การสนับสนุนการตัดสินใจด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision Support) ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้นถูกใช้เพื่อสร้างรายงานการดำเนินงาน โดยมุ่งเน้นที่การติดตามความคืบหน้าของโครงการและการปฏิบัติตามข้อกำหนด อย่างไรก็ตาม ระบบนี้ยังขาดความสามารถในการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ที่ช่วยคาดการณ์และจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แพลตฟอร์มสำหรับการทำงานร่วมกัน (Collaboration Platforms) เครื่องมือดิจิทัลสำหรับการทำงานร่วมกันถูกใช้งานเพื่อสนับสนุนการสื่อสารระหว่างทีมงานในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างเครื่องมือเหล่านี้และระบบหลักยังคงมีข้อจำกัด ส่งผลให้กระบวนการตัดสินใจไม่คล่องตัวเท่าที่ควร
กรอบการตรวจสอบและบำรุงรักษา (Monitoring and Maintenance Frameworks) บริษัทมีการใช้เครื่องมือพื้นฐานในการตรวจสอบโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งรองรับการตรวจสอบเบื้องต้นได้ดี แต่ยังขาดความสามารถในการตรวจจับปัญหาเชิงรุกและการแก้ไขปัญหาได้ทันเวลา
ระบบติดตามการปฏิบัติตามกฎระเบียบและรายงานด้านสิ่งแวดล้อม (Compliance and Environmental Reporting) ระบบที่มีอยู่ช่วยติดตามการปฏิบัติตามมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและการทำรายงานการตรวจสอบได้อย่างสม่ำเสมอ แต่กระบวนการรวบรวมข้อมูลยังใช้แรงงานคนสูงและมีโอกาสเกิดข้อผิดพลาด
05. Develop New Digital Capabilities (พัฒนาศักยภาพดิจิทัลใหม่)
การตรวจจับปัญหาเชิงรุกและการวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์ (Proactive Incident Detection and Real-Time Data Analytics) พัฒนาระบบตรวจจับปัญหาในโครงสร้างพื้นฐานและระบบ IT โดยสามารถระบุปัญหาได้ล่วงหน้า ลดระยะเวลา Downtime และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น พร้อมด้วยแดชบอร์ดข้อมูลแบบเรียลไทม์ (Real-Time Dashboards) ที่แสดงข้อมูลการดำเนินโครงการแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ผู้บริหารและทีมงานสามารถติดตามสถานะโครงการได้ทุกขั้นตอน
การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ (Predictive Analytics) ใช้ AI ในการคาดการณ์ความเสี่ยงของโครงการ เช่น การล่าช้าหรือปัญหาด้านวัสดุ และเสนอแผนรับมือได้ล่วงหน้า ใช้ Predictive Maintenance การวิเคราะห์เชิงพยากรณ์ในการตรวจสอบอุปกรณ์และเครื่องจักรสำคัญ เช่น การซ่อมบำรุงล่วงหน้าสำหรับรถไฟและเครื่องจักรขนาดใหญ่ ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มความพร้อมใช้งาน
การบูรณาการข้อมูลและการทำงานร่วมกัน (Data Integration and Collaboration Platforms) พัฒนาระบบรวมศูนย์ข้อมูล (Unified Data Platform) เพื่อจัดเก็บข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Centralized Data Repository) ซึ่งช่วยให้ทีมงานจากส่วนต่าง ๆ สามารถเข้าถึงข้อมูลร่วมกันได้โดยง่าย โดยมีแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบดิจิทัล (Collaboration Tools) เช่น Microsoft Teams และ Atlassian Jira เพื่อเชื่อมโยงทีมงานในไซต์งานต่าง ๆ และช่วยให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น
ระบบการบริหารจัดการโครงการด้วยระบบคลาวด์ (Cloud-Based Project Management Systems) Cloud Observability Platform: ระบบคลาวด์ที่สามารถติดตามและจัดการโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ได้แบบเรียลไทม์ ลดการใช้เครื่องมือ IT Monitoring ลงถึง 75% พัฒนาระบบจัดการงาน (Task Management Systems) บนคลาวด์ ช่วยให้ทีมงานติดตามสถานะงานและปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานได้แบบเรียลไทม์
ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Cybersecurity and Compliance Tools) ใช้เครื่องมือ AI ในระบบตรวจสอบความปลอดภัย (Security Monitoring) เพื่อตรวจจับภัยคุกคามด้านความปลอดภัยในระบบ IT โดยให้มีการจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ (Regulatory Compliance) ที่ช่วยติดตามและปรับปรุงกระบวนการให้สอดคล้องกับมาตรฐานในอุตสาหกรรม
การสร้างระบบนิเวศดิจิทัลใหม่ (Digital Ecosystem Development) ระบบจัดการพลังงานและทรัพยากร (Energy and Resource Management) ด้วย IoT ในการตรวจสอบและวิเคราะห์การใช้พลังงานในไซต์งาน ช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 15% สนับสนุนโครงการ Net Zero Carbon ด้วยการพัฒนาโซลูชันเพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกส่วนงานเพื่อปรับปรุงกระบวนการและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
06. Digital Initiatives & Roadmap (แผนริเริ่มดิจิทัล)
ก่อนเริ่มโครงการ Cloud Observability Uplift Project
ปี 2018-2020 การปรับใช้ระบบคลาวด์ (Cloud Adoption) เริ่มต้นย้ายข้อมูลและระบบการทำงานหลักขึ้นสู่คลาวด์ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและลดความซับซ้อนในการจัดการข้อมูล
ปี 2019 การพัฒนา IoT ในการตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน (IoT for Infrastructure Monitoring) ใช้ IoT เพื่อติดตามและวิเคราะห์โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบรางและสะพาน
ปี 2020 การใช้ Predictive Analytics ในการบริหารโครงการ (Predictive Analytics for Project Management) ใช้ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ปัญหา เช่น การล่าช้าของโครงการหรือการขาดแคลนทรัพยากร
ระหว่างโครงการ Cloud Observability Uplift Project
ปี 2021 การสร้างระบบรวมศูนย์ข้อมูล (Centralized Data Platform) สร้างแพลตฟอร์มข้อมูลแบบรวมศูนย์ (Single Source of Truth) เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ
ปี 2021-2022 การใช้ Proactive Monitoring Systems พัฒนาระบบตรวจจับปัญหาเชิงรุกเพื่อระบุปัญหาในระบบล่วงหน้า
ปี 2022 การพัฒนาแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน (Collaboration Platforms) ใช้เครื่องมือดิจิทัล เช่น Atlassian และ Microsoft Teams เพื่อสนับสนุนการทำงานข้ามสายงาน
หลังโครงการ Cloud Observability Uplift Project
ปี 2023 การปรับปรุงระบบ Predictive Maintenance ใช้ AI และ Machine Learning ในการคาดการณ์และบำรุงรักษาโครงสร้างพื้นฐาน
การพัฒนาระบบ Cybersecurity เพิ่มความปลอดภัยในระบบคลาวด์และระบบดิจิทัล
ปี 2023-2024 การขยายโครงการ Net Zero Carbon ใช้เทคโนโลยี IoT และระบบจัดการพลังงานเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน แผนงานระยะยาว (2024-2030)
แผนงานระยะยาว ปี 2024-2030
ใช้ Digital Twin ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน สร้างแบบจำลองดิจิทัล (Digital Twin) ของโครงสร้างพื้นฐาน
ลงทุนในระบบ AI และ Edge Computing ใช้ AI ในการเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน และ Edge Computing สำหรับการประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์
สร้างแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบเปิด (Open Digital Platform) เปิดโอกาสให้พันธมิตรและลูกค้าเข้าถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัท
ส่วนที่ 3: Transformation in Action
07. Organizational Transformation (การเปลี่ยนแปลงองค์กร)
John Holland ได้ดำเนินการเปลี่ยนแปลงองค์กรครั้งสำคัญเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายและโอกาสในยุคดิจิทัล โดยมุ่งเน้นการปรับปรุงโครงสร้างองค์กร วัฒนธรรม และทักษะของพนักงาน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อเสริมสร้างศักยภาพในทุกมิติของการดำเนินงาน
จัดตั้งหน่วยงานด้านดิจิทัลและนวัตกรรม (Digital Innovation Unit) เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี
ลงทุนในระบบ IT Infrastructure ที่สนับสนุนการดำเนินงานในระยะยาวและตอบสนองต่อการเติบโตของธุรกิจ
ลงทุนในโครงการพัฒนาทักษะดิจิทัล (Digital Skills Upskilling Program) เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานในด้านดิจิทัล เช่น การใช้ AI และระบบคลาวด์
สนับสนุนการทำงานด้วยเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เช่น แอปพลิเคชันจัดการงานในไซต์งาน
พัฒนาโครงการส่งเสริมวัฒนธรรมองค์กรแบบ Agile (Agile Culture Development Initiative) เพื่อสร้างความยืดหยุ่นและเปิดรับการเปลี่ยนแปลง
การนำแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน (Collaboration Platforms Implementation Project) มาใช้ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการสื่อสารและการทำงานเป็นทีม
ปรับโครงสร้างองค์กร (Organizational Restructuring for Digital Transformation) ให้เหมาะสมกับการดำเนินงานในยุคดิจิทัล เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน
08. Agile Strategy & Planning (กลยุทธ์และการวางแผนแบบ Agile)
เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐาน John Holland ได้พัฒนากลยุทธ์และการวางแผนแบบ Agile โดยมุ่งเน้นการสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้คนและชุมชนภายใต้แนวคิด “Transforming Lives”
บริษัทได้สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่มีค่านิยมหลัก ได้แก่ Caring (ใส่ใจ), Empowering (เสริมพลัง), Imaginative (คิดสร้างสรรค์), และ Future-focused (มุ่งเน้นอนาคต) เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในยุคดิจิทัล
กลยุทธ์ Agile ของ John Holland เป็นการผสานการทำงานที่ยืดหยุ่นและมุ่งเน้นผลลัพธ์ผ่านการนำกระบวนการดิจิทัลและเครื่องมือสมัยใหม่มาใช้ในโครงการต่าง ๆ พร้อมทั้งสนับสนุนการเรียนรู้และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถส่งมอบโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
Agile Strategies in Digital Construction Strategy 2025
People-Centred Solutions ออกแบบและดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นความต้องการของผู้คนและชุมชน เช่น การสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
Scenario-Based Planning วางแผนตามสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับความท้าทายและลดผลกระทบจากความไม่แน่นอน
Continuous Improvement Culture สร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เน้นการเรียนรู้และพัฒนาต่อเนื่องผ่านการเก็บฟีดแบ็กและปรับปรุงกระบวนการ
Empowering Decentralized Teams ส่งเสริมการทำงานร่วมกันในทีมที่มีความหลากหลายและการตัดสินใจแบบกระจายศูนย์ เพื่อเพิ่มความรวดเร็วและประสิทธิภาพ
Future-Focused Digital Tools ลงทุนในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน เช่น Digital Twin และ Cloud Observability เพื่อยกระดับกระบวนการบริหารจัดการ
ด้วยการนำกลยุทธ์ Agile มาใช้ John Holland ไม่เพียงแค่เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นในการดำเนินโครงการ แต่ยังสนับสนุนการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและสอดคล้องกับค่านิยมองค์กรในทุกมิติ
09. Building Collaborative Ecosystem (สร้างระบบนิเวศความร่วมมือ)
John Holland มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศความร่วมมือที่แข็งแกร่งผ่านพันธมิตรเชิงกลยุทธ์จากหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
พันธมิตรเหล่านี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล การจัดการโครงการ และการส่งเสริมความยั่งยืนในระยะยาว โดยร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ บริษัทเทคโนโลยี และผู้ให้บริการในท้องถิ่น เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนและลูกค้าในทุกมิติ
ด้วยระบบนิเวศที่หลากหลายและครอบคลุมทุกมิติ John Holland สามารถสร้างความร่วมมือที่ช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระดับโลก
John Holland แสดงให้เห็นถึงความสำเร็จในการทรานส์ฟอร์มธุรกิจผ่านการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การบริหารจัดการที่ยืดหยุ่น และการสร้างระบบนิเวศความร่วมมือที่ครอบคลุมทุกมิติ องค์กรได้ปรับปรุงรูปแบบธุรกิจเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน การสร้างโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ และการให้บริการโซลูชันดิจิทัล การดำเนินงานเหล่านี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน แต่ยังสร้างมูลค่าในระยะยาวและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างยั่งยืน John Holland ถือเป็นตัวอย่างขององค์กรที่นำแนวคิด Digital Transformation มาใช้ได้อย่างประสบความสำเร็จ สามารถสร้างการเติบโตและความยั่งยืนในโลกธุรกิจยุคใหม่
ขอแนะนำ AI BUSINESS PLAN GENERATOR ผู้ช่วยสร้างแผนธุรกิจใหม่ของคุณ
เพียงกรอกแบบฟอร์มทีละขั้นตอน คุณจะได้รับแผนธุรกิจที่มีข้อมูลเชิงลึกจาก AI และกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อธุรกิจของคุณ ที่รวมถึงแผนการสร้างการเติบโตครั้งใหม่ New Growth Engine แผนทรานส์ฟอร์มธุรกิจ Transformer Map และโมเดลธุรกิจใหม่ของคุณ Business Model Canvas
คุณจะได้รับไฟล์แผนธุรกิจในรูปแบบ PPT และ DOC ที่คุณสามารถใช้ในการประชุมกับเพื่อนร่วมงาน เอเจนซี่ ทีี่ปรึกษา ผู้ถือหุ้น หรือผู้ลงทุนได้ทันที
รวดเร็ว ประหยัดเวลา ลดขั้นตอน และออกแบบเพื่อความสำเร็จของคุณ
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
IDC Asia/Pacific. (2024). Future Enterprise Awards 2024 Winners.
John Holland Group. (2023). Annual Report 2023.
John Holland Group. (2023). Digital Construction Strategy 2025.
LogicMonitor (2024). How John Holland achieved 40% cost reduction and 75% reduction in IT monitoring tools.
AWS. (2024). John Holland Case Study.
iTnews. (2024). John Holland breaks first ground on three-year digital transformation.
Infrastructure Partnerships Australia. (2023). Australia’s Infrastructure Performance: The Role of Innovation and Technology.
Snowy Hydro 2.0 Project Overview.
Australian Financial Review. (2023). John Holland’s Role in Smart Infrastructure Development.
Deloitte Australia. (2024). John Holland becomes cloud-first.
Deloitte Australia. (2023). The State of Digital Transformation in Construction 2023.
PwC Australia. (2023). Digital Twin Implementation in Australian Infrastructure Projects.
McKinsey & Company. (2023). The Next Frontier of Construction Innovation: Harnessing Digital and Sustainable Strategies.
World Economic Forum. (2023). Building Digital Ecosystems for Sustainable Infrastructure.
RELATED TOPICS
14 องค์กรต้นแบบ ปี 2024 >>
ยุคที่ 3 ของ AI & Digital Transformation >>
OUR SIGNATURE PROGRAM